ยินดีด้วย! ในที่สุดเราก็ได้มีกฎหมายที่ประกันสิทธิของประชาชนเพิ่มขึ้นมาอีก 1 เรื่องสักที อีกครั้งหนึ่งที่ประเทศไทยได้ก้าวข้ามขีดจำกัดอีกก้าวหนึ่งแล้ว เรามีกฎหมายที่พ้นจากกรอบความควบคุมความคิดทางศาสนา จารีต และประเพณี มีพัฒนาการมาสู่กฎหมายเทคนิคเฉพาะ เพื่อสิทธิมนุษยชน และความเป็นไปของมนุษย์

แต่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถช่วยให้ผู้หญิง 1 คนที่ท้องไม่พร้อมยุติการตั้งครรภ์ได้จริงหรือ? มาดูกันว่าการที่ผู้หญิงคนหนึ่ง จะเดินเข้าไปรับการยุติการตั้งครรภ์จากภาครัฐนั้นต้องเจอกับอะไรบ้าง มาดูเงื่อนไขก่อนเข้ารับการรักษาตามประกาศสธ.
- พบปัญหาสุขภาพทางกาย/จิตใจ
- เสี่ยงคลอดทารกที่มีความผิดปกติถึงขนาดทุพพลภาพอย่างร้ายแรง
- ตั้งครรภ์หลังจากเกี่ยวพันกับการกระทำความผิดทางอาญาเกี่ยวกับเพศ
- อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์
- อายุครรภ์ 12-20 สัปดาห์ ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์หลังได้รับคำปรึกษาตามกฎหมาย
ทั้งนี้กรณี 1-3 หญิงสามารถทำแท้งได้ โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุครรภ์
เมื่อดูจากเงื่อนไขตามกฏหมายใหม่แล้ว ดูเป็นเรื่องง่ายและราบรื่นมากหากผู้หญิงรับเข้าการรักษาในโรงพยาบาล แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนหละ? คุณสามารถเดินเข้าไปหาหมอแล้วยืนยันว่าต้องการยุติการตั้งครรภ์ได้เลยมั้ย แต่ในความเป็นจริงแล้วจะมีกี่โรงพยาบาลที่รอบรับกับกฎหมายใหม่พวกนี้ กทม.จาก110 โรงพยาบาลกลับมีเพียง 5 โรงพยาบาลเท่านั้นที่ให้บริการยุติการตั้งครรภ์ ไม่ต้องพูกถึงต่างจังหวัดที่ผู้หญิงเหล่านั้นต้องเดินทางข้ามจังหวัดหลายๆจังหวัด ไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพื่อเข้ารับการรักษา
แล้วทำไมทุกโรงพยาบาลถึงไม่ให้การรักษาในเมื่อเรามีกฎหมายทำแท้งใหม่แล้ว?
การทำแท้งในไทยตอนนี้นั้นยังใช้วิธีทางหัตถการอยู่ พูดง่ายๆก็คือใช้หมอนี่แหละขูดมดลูกให้ และไม่ใช่หมอสูติทุกคนที่ยินดีที่จะทำแท้งให้คุณ ในเมื่อหมอก็เป็นคนมีความรู้สึกผิดบาปเช่นเดียวกับปุถุชนทั่วไป จะทำอย่างไรเมื่อสำนึกของหมอส่วนใหญ่นั้นหมอคือผู้ช่วยชีวิตไม่ใช่ผู้ทำลายชีวิต ถึงกฎหมายจะกำหนดไว้แบบแบบนั้นเราสามารถบังคับหมอให้ทำแท้งได้หรือไม่?
ปัญหาอีกข้อคือหญิงที่อายุครรภ์ 12-20 สัปดาห์ต้องได้รับคำปรึกษาก่อน หมายความว่าคุณอาจจะต้องเจอกับเจ้าหน้าที่อีกหลายๆฝ่ายก่อนได้รับการรักษา ซึ่งกล้าพูดได้เต็มปากว่าไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะกล้าเล่าเรื่องแบบนี้ให้ใครฟัง ยังไม่รวมหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ที่ต้องมีผู้ปกครองให้การยินยอมอีกด้วย มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง
ยังไม่รวมปัญหายิบย่อยเช่น ยกตัวอย่างการเข้ารับการรักษากับโรงพยาบาลลแห่งหนึ่ง ต้องผ่านผู้ให้คำปรึกษาด่านแรกที่จะจองคิวนัดหมายให้คุณ คงจะดีถ้าเขาไม่ได้ทำเพื่อเก็บค่าหัวคิว คุณอาจจะเสียเงินน้อยกว่าหากคุณเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโดยตรงโดยไม่ผ่านพวกเขาเหล่านั้น
สุดท้ายนี่ยินดีอีกครั้งกับกฎหมายทำแท้งใหม่
เพราะไม่ควรมีมนุษย์คนไหนต้องเกิดขึ้นมาใช้ชีวิตบนโลกโดยที่ปราศจากความพร้อมในการเลี้ยงดูของพ่อแม่ หรือเกิดขึ้นมาในสังคมที่ไม่แน่นอนเช่นในปัจจุบัน ยุติการตั้งครรภ์โดยความสมัครใจ ปลอดภัย และได้รับการดูแลที่ดีภายใต้ความควบคุมของแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถ ลดความเสี่ยงจากอันตรายจากการทำแท้งเถื่อน และลดความเสี่ยงการเสียชีวิตเพราะตกเลือดมากในผู้ยุติการตั้งครรภ์อย่างไม่ถูกสุขลักษณะ
หรือหากคุณไม่ต้องการเข้ารับการรักษาทางหัตถการ สามารถปรึกษาเพื่อรับยาไปทำเองที่บ้านได้
